ข่าวด่วน ทันเหตุการณ์ เศรษฐกิจ การลงทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ไอที-เทคโนฯ รถยนต์ ท่องเที่ยว ต่างประเทศ รวดเร็วสดใหม่ทุกวัน
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ ธปท.Fiscal-Monetary Synergy in Sight การแก้ปัญหาเชิงโครงส้าง ไม่ใช่แค่วิเคราะห์ หัวใจต้องทำให้'คนกินดีอยู่ดี'
`คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน`Quick Big Win ปรับบทบาทแบงก์ชาติแก้ปัญหาเศรษฐกิจมหภาค โครงสร้างประเทศ จับมือรัฐบาลเตรียมออกกลไกค้ำประกันใหม่หนุนเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อ ชี้ดอกเบี้ยนโยบายยังมีช่องว่างให้ผ่อนคลาย ออกมาตรการเฉพาะจุด ทำอย่างต่อเนื่อง
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) `คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน`Quick Big Win กล่าวว่า บทบาทและแนวทางการดำเนินงานของ ธปท. จะมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดรับกับบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ซึ่งคือความจำเป็นในการเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหามหภาคและปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหารุมเร้าเชิงโครงสร้างมากมาย ทั้งความสามารถในการแข่งขันระยะยาว, ภาคผลิต,สังคมสูงวัย, หนี้ครัวเรือน, และปัญหาความไม่นิ่งทางการเมือง
โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่การเติบโตต่ำลงมาก ในอดีตก่อนโควิด-19 เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตได้ 4-5% ต่อปี แต่ปัจจุบันคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะเติบโตที่ 2.1% และคาดการณ์ปี 2569 จะเติบโตที่ 1.6% เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบไม่กระจายตัว ซึ่งการเติบโต 2% ในปีนี้ยังไม่ทั่วถึง ธุรกิจขนาดใหญ่ สถาบันการเงิน ซึ่งแข็งแกร่งมากและมีกำไรสูง ยังสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ดีและไปต่อได้ ซึ่งเป็นความกังวลว่าจะเป็น New Normal ที่ระดับการเติบโตใหม่ของไทยจะอยู่เพียงประมาณ 2% ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นเช่นนั้น
ผู้ว่าการ ธปท. เผยว่า ข้อจำกัดของการใช้นโยบายการเงินแบบหลักที่ใช้เครื่องมือ คือ ดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากเครื่องมือดังกล่าวมีผลกระทบในวงกว้าง ไม่ใช่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือการแก้ปัญหาเป็นจุดๆ
การลดดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา 0.25% จำนวน 4 ครั้ง มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงต่ำกว่า 0.2%. ขณะที่เงินเฟ้อปีนี้ คาดว่า จะติดลบ -0.1% และถึงแม้เงินเฟ้อจะต่ำ และการลดดอกเบี้ยจะช่วยประคองอัตราเงินเฟ้อปี 2569 ให้เป็นบวกประมาณ 0.1% เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก
แต่การลดดอกเบี้ยยังมีช่องว่าง และมีความจำเป็น เพราะช่วยในเรื่องของสภาพคล่อง และช่วยให้คนอยู่ได้ สามารถจ่ายหนี้ได้ แต่การตัดสินใจว่า จะลดดอกเบี้ยหรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยจะมีการพิจารณาในรอบการประชุมที่กำลังจะมาถึงในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยจะต้องดูข้อมูลล่าสุดที่ออกมาว่า กนง.จะมองอย่างไร ซึ่งผู้ว่าธปท.ก็เป็นหนึ่งในสมาชิก 7 คนของคณะกรรมการกนง.ชุดปัจจุบันด้วย
นายวิทัย กล่าวว่า การหลุดพ้นจาก NPL มีความสำคัญ การแก้ปัญหาหนี้เสีย NPL รายย่อยต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งปัญหานี้ถูกดำเนินการมาเกือบปีแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่ง ธปท. เข้ามาเป็นผู้ดำเนินการหลัก ใช้เวลาเพียง 1 เดือนก็สามารถเดินหน้าโครงการได้ โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ 60% ของหนี้บุคคลมีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท คิดเป็น 4.7 ล้านบัญชี โดยธปท.ได้โอนหนี้ส่วนนี้ไปยัง บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งเป็นบริษัทที่ ธปท. ถือหุ้น 100%
SAM จะถูกเปลี่ยนบทบาทเป็น Social AMC โดยไม่มุ่งเน้นกำไร แต่เน้นการช่วยเหลือคนให้หลุดพ้นจากการเป็น NPL โดยล็อตแรกจะช่วยลูกหนี้ 1.6 ล้านคน ร่วมกับแบงก์รัฐอีก 300,000 คน เป็นรวมเกือบ 2 ล้านคน และตั้งเป้าคุยกับ Non-bank ในช่วงต้นปีหน้าเพื่อช่วยเหลือเพิ่มอีกประมาณ 1 ล้านคน
“ตัวอย่างเช่น ลูกหนี้ที่มีหนี้ 27,000 บาท โดยจะได้รับการลดดอกเบี้ย ลดค่าธรรมเนียม และลดเงินต้น ลูกหนี้สามารถเลือกจ่ายทีเดียวจบ เช่น 10,000 บาท หรือผ่อน 36 เดือน เดือนละ 300-400 บาท เพื่อให้กลับเข้าสู่ระบบ และสามารถกู้เงินไปประกอบธุรกิจต่อได้”
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ธุรกิจ SME มีปัญหาอย่างชัดเจน โดยสินเชื่อ SME ติดลบต่อเนื่องมาแล้ว 13 ไตรมาส หรือคิดเป็น 3 ปี ธปท. กำลังดำเนินการร่วมกับรัฐบาลและสมาคมธนาคารไทย เพื่อออกกลไกค้ำประกันใหม่ ซึ่งแตกต่างจากการค้ำประกันปกติของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยหวังว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ประมาณ 100,000-120,000 ล้านบาท โดยมุ่งอุตสาหกรรมที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่ เช่น อาหาร เกษตร และ Smart Electronics. โดยหวังว่าสินเชื่อจะกลับมาเป็นบวกและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
“แนวทางใหม่นี้ ธปท. จะดำเนินงานควบคู่ไปกับการใช้นโยบายทางการเงิน ซึ่งเป็นเครื่องมือในวงกว้าง โดยนโยบายการเงินต้องมีความเป็นอิสระ แต่เสริมกันกับมาตรการเฉพาะจุด เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่นโยบายการเงินหลักไม่สามารถทำได้”
ธปท. จะปรับเปลี่ยนจากการทำหน้าที่หลักในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคมาเป็น ผู้ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมหภาคมากขึ้น นอกเหนือจากการดูแลเสถียรภาพแล้ว ธปท. ต้องเป็นผู้เข้ามากำหนดและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมหภาคและเชิงโครงสร้าง โดยมีเป้าหมายสุดท้าย คือการทำให้ประชาชน'กินดี อยู่ดี'การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างจำเป็นต้องออก มาตรการเฉพาะจุด ที่เข้าไปแก้ปัญหาเป็นจุดๆ การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สามารถจบได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้องมีการออกอีกหลายมาตรการเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
“แบงก์ชาติจะดำเนินงานตามค่านิยมเดิมที่ยึดถือมากว่า 20 ปี คือ 'ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน' โดยจะเข้าใกล้ชิดกับปัญหาและสังคมมากขึ้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แบงก์ชาติจะเข้าใช้ใกล้ชิดกับปัญหาอยู่ใกล้กับสังคมจะไม่มีคำว่า 'หอคอยงาช้าง' กับแบงก์ชาติอีกต่อไป
สำหรับ สถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ภาคใต้ ประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อจีดีพี 0.1-0.2% เท่านั้น โดยธปท.ได้ออกมาตรการผ่อนเกณฑ์ผ่านสถาบันการเงินภายใต้การกำกับ โดยผ่อนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ สามารถลดต้น ลดดอกได้ ลดการจ่ายชำระหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ธปท.หวังเห็นสถาบันการเงินภายใต้การกำกับออกมาตรการช่วยเหลือที่แรง เช่นเดียวกับมาตรการที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ดำเนินการออกมาช่วยลูกค้าในช่วงก่อนหน้านี้
“หาดใหญ่เป็นเรื่องเศร้ามาก ภาพของ Impact ที่เกิดขึ้นมองว่า จะกระทบต่อภาพรวม หรือผลต่อระบบเศรษฐกิจภาพรวมมีผลประมาณ 0.1-0.2% ของ GDP เท่านั้น ในเรื่องนโยบายการเงินที่พยายามช่วย คือ พยายามผ่อนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ไหลมาเป็น NPL เชื่อว่า ธปท.คุยกับสถาบันการเงิน สมาคมธนาคารไทยก็ยินดีช่วยเต็มที่ เราก็ขอมาตรการแรงๆ เขาก็มีใจช่วยอยู่แล้ว”นายวิทัย กล่าว
ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ จับตาข้อมูลที่ออกมาว่า กนง. จะเห็นอย่างไร ขณะเดียวกันสิ่งที่ธปท.จะทำคือ การปรับเปลี่ยนเป้าหมายและวิธีการใหม่ จากเดิมเน้นนโยบายการเงิน ใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นหลัก แต่พบว่า มีจำกัด แต่จะเปลี่ยนจากดูแลเสถียรภาพเป็นหลัก เงินเฟ้อ สถาบันการเงินเข้มแข็ง ระบบการชำระเงินมีเสถียรภาพ โดยหลังจากนี้ นอกจากบทบาทดังกล่าว ธปท.จะดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง เพื่อทำให้คนกินดีอยู่ดีด้วย
สงวนลิขสิทธิ์ © 2557 บริษัท เพาเวอร์ ไทม์ มีเดีย จำกัด